ดูแลเท้าอย่างไร? เมื่อเป็นเบาหวาน

ผู้เป็นเบาหวานทำไมถึงต้องดูแลเท้า
ผู้เป็นเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆในร่างกาย รวมถึงขาและเท้า พบว่าผู้เป็นเบาหวานมีโอกาสเกิดแผลเรื้อรังที่เท้าสูง นำไปสู่การถูกตัดนิ้วเท้า เท้า หรือขาได้ โดยสาเหตุที่ผู้เป็นเบาหวานเกิดแผลที่เท้าง่าย เกิดได้จาก
1. ระบบปลายประสาทส่วนปลายเสื่อม หรือบางคนอาจเรียกว่า “เบาหวานลงเท้า” ภาวะนี้มีอาการได้หลากหลาย ในระยะแรก มักมาด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน โดยเฉพาะตอนกลางคืน แต่อาการที่พบบ่อยกว่า คือ อาการชา ผู้เป็นเบาหวานมักมีอาการทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน โดยเริ่มชาจากปลายนิ้วเท้าก่อน แล้วเริ่มชาไล่ขึ้นไปบริเวณหลังเท้าและขาทั้งสองข้าง เมื่อมีอาการชา อาจเหยียบของมีคมโดยไม่รู้สึกตัวทำให้เกิดแผลได้ง่าย นอกจากนั้นอาการชาอาจทำให้ผู้ป่วยเดินลงน้ำหนักที่บริเวณแผล ทำให้แผลถูกกดทับตลอดเวลาและไม่สามารถหายได้ เมื่อระบบประสาทส่วนปลายเสื่อมนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อเล็กๆ บางมัดบริเวณเท้าฝ่อลง เกิดเท้าบิดผิดรูป ทำให้บางส่วนของเท้ามีการรับน้ำหนักผิดปกติทำให้เกิดแผลที่เท้าตามมาได้
2. ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ผิวหนังบริเวณเท้าแห้ง คัน ทำให้เกิดแผลได้ง่าย
3. หลอดเลือดส่วนปลายที่ขาตีบ ทำให้แผลที่เท้าหายยากขึ้น และนำไปสู่การสูญเสียเท้าหรือขาตามมาได้
ลักษณะความผิดปกติของเท้าที่อาจพบได้ในผู้เป็นเบาหวาน
1. เท้าผิดรูปในลักษณะต่างๆ
2. ผิวหนังที่เท้าผิดปกติ หนังแข็งหรือตาปลาที่บริเวณเท้า
3. แผลที่เท้าแบบต่างๆ
ปัจจัยเสี่ยงการเกิดแผลที่เท้า และการถูกตัดเท้าหรือขาในผู้เป็นเบาหวาน
– เพศชาย
– สูงอายุ
– ผู้ที่สูบบุหรี่
– ผู้ที่เคยมีแผลที่เท้า หรือถูกตัดเท้าหรือขามาก่อน
– ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทส่วนปลายจากโรคเบาหวาน หรือมีหลอดเลือดส่วนปลายที่ขาตีบ
– ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนหลอดเลือดขนาดเล็กจากเบาหวาน เช่น จอประสาทตาเสื่อม ไตเสื่อม
– ผู้ที่มีเท้าผิดรูป หนังแข็ง หรือเล็บเท้าผิดปกติ
– ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานมากกว่า 10 ปี หรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี
– ผู้ที่สวมรองเท้าไม่เหมาะสม หรือมีพฤติกรรมการดูแลเท้าที่ไม่ถูกต้อง

วิธีการดูแลเท้าสำหรับผู้เป็นเบาหวาน เพื่อป้องกันการเกิดแผลที่เท้า
คำแนะนำทั่วไป
– ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
– มาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสำรวจและตรวจเท้า
– หลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้าง เนื่องจากอาจกดทับเส้นประสาทที่บริเวณเข่าได้
– ห้ามสูบบุหรี่
– หากพบว่ามีแผลแม้เพียงเล็กน้อย ให้ทำความสะอาดทันทีและควรรีบมาพบแพทย์

การสำรวจเท้าสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

  • สำรวจเท้าตนเองทุกวัน โดยสำรวจอย่างละเอียดทั้งบริเวณหลังเท้า ฝ่าเท้า ส้นเท้า และระหว่างซอกนิ้วทุกๆนิ้ว ว่ามีรอยแดงที่ผิดปกติ รอยแผลถลอก บาดแผล หนังด้านแข็ง รอยแตก การติดเชื้อรา หรือสิ่งผิดปกติที่อาจมีอยู่ใต้ฝ่าเท้าโดยที่เราไม่ทราบหรือไม่มีอาการเจ็บมาก่อนหรือไม่
  • หากไม่สามารถก้มสำรวจเท้าได้เอง ควรใช้กระจกสะท้อนส่องดู
  • หากมีปัญหาเรื่องการมองเห็นควรให้ญาติหรือผู้ใกล้ชิดสำรวจเท้าแทน
  • หากมีหนังด้านแห้ง หูด ตาปลา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา ไม่ควรตัดหรือใช้สารเคมีลอกด้วยตนเอง

การทำความสะอาดเท้าสำหรับผู้เป็นเบาหวาน
– ทำความสะอาดเท้า โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้าทุกวันด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อน วันละ 2 ครั้ง รวมทั้งทำความสะอาดทันทีที่เท้าสกปรก หลังทำความสะอาดควรเช็ดเท้าให้แห้งทันทีด้วยผ้าเช็ดตัวหรือผ้านุ่มที่สะอาด
– ห้ามใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดเท้า เนื่องจากจะทำให้ผิวเท้าแห้งยิ่งขึ้น
– ห้ามแช่เท้าในน้ำอุ่นหรือวางกระเป๋าน้ำร้อนบนเท้าเด็ดขาด หากมีอาการเท้าเย็นตอนกลางคืนให้สวมถุงเท้า
การทาโลชั่นบริเวณเท้าหลังการทำความสะอาดเท้า
– ผู้เป็นเบาหวานมักมีผิวหนังแห้งหรือค่อนข้างแห้ง อาจทำให้คันและเกิดแผลได้ ควรใช้โลชั่นหรือครีมทาบางๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น โดยเลือกโลชั่นชนิดใดก็ได้ แต่ควรเป็นโลชั่นที่ซึมซับเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างรวดเร็วและไม่ลื่น
– แนะนำให้ทาโลชั่นบริเวณหลังเท้า ฝ่าเท้า ส้นเท้า และบริเวณเล็บเท้า หลีกเลี่ยงการทาบริเวณซอกนิ้วเท้าเนื่องจากจะก่อให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย
– ระหว่างการทาโลชั่นที่เท้าสามารถใช้ฝ่ามือลูบบริเวณฝ่าเท้าที่เรามองไม่เห็น ว่าผิวสัมผัสเรียบปกติหรือไม่ ถ้าผิวสัมผัสไม่เรียบ บ่งชี้ว่าอาจมีสิ่งผิดปกติอยู่บริเวณฝ่าเท้า ควรทิ้งเวลาให้โลชั่นที่ทาซึมเข้าสู่ผิวหนัง ก่อนการสวมถุงเท้าหรือรองเท้า
การใส่ถุงเท้าและรองเท้า
– ผู้เป็นเบาหวานควรสวมถุงเท้าและรองเท้าเสมอ ทั้งขณะเดินในบ้านและนอกบ้าน ไม่ควรเดินเท้าเปล่า
– ควรสวมถุงเท้าก่อนสวมรองเท้าเสมอ โดยเลือกถุงเท้าที่ไม่รัดแน่นเกินไป ไม่มีตะเข็บ (หากถุงเท้ามีตะเข็บให้กลับด้านในออก) และควรเปลี่ยนทุกวัน
– สำรวจภายในรองเท้าก่อนสวมทุกครั้งว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่หรือไม่ เพื่อป้องกันการเหยียบสิ่งแปลกปลอมจนเกิดแผล
– หากสวมรองเท้าใหม่ ควรสวมประมาณครึ่งชั่วโมงในวันแรกๆ วันต่อไปค่อยๆเพิ่มเป็นหนึ่งชั่วโมง โดยสวมสลับกับรองเท้าคู่เก่า เพื่อให้รองเท้าค่อยๆขยายปรับตัวจนเข้ากับเท้าได้ดี
การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม
– เลือกสวมรองเท้าที่มีขนาดพอดี เหมาะสมกับรูปเท้า ไม่หลวมหรือคับเกินไป ไม่มีหน้าแคบจนบีบหน้าเท้า
– เนื่องจากรองเท้าเบอร์เดียวกันอาจมีขนาดแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ และคนส่วนใหญ่มักมีขนาดเท้าสองข้างไม่เท่ากัน จึงควรลองสวมรองเท้าทั้งสองข้างและลองเดินก่อนเลือกซื้อรองเท้าเสมอ
– ควรเลือกรองเท้าหุ้มส้นเพื่อช่วยป้องกันอันตรายที่เท้า ไม่มีตะเข็บหรือมีตะเข็บน้อยเพื่อมิให้ตะเข็บกดผิวหนัง และมีเชือกผูกหรือมีแถบ Velcro เพื่อช่วยให้สามารถปรับความพอดีกับเท้าได้มากขึ้น
– หลีกเลี่ยงรองเท้าแตะแบบคีบหรือรองเท้าแตะที่ทำด้วยหนังหรือพลาสติกแข็ง
การตัดเล็บ
– ควรใช้กรรไกรตัดเล็บขอบตรงตัดตามแนวขอบเล็บเท่านั้นโดยให้ปลายเล็บเสมอกับปลายนิ้ว แล้วใช้ตะไบขัดเพื่อลบรอบคมและป้องกันการเกิดเล็บขบ
– ห้าม ตัดเล็บสั้นเกินไปและลึกถึงจมูกเล็บ
– ห้าม ตัดเนื้อเพราะอาจเกิดแผลและมีเลือดออก
– ถ้าเล็บหนาไม่สามารถตัดเล็บเองได้ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเท้าตัดเล็บให้
การออกกำลังกายเท้า
– ควรออกกำลังกายเท้าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือดมาปลายเท้า โดยมีท่าบริหารดังนี้
– กระดกข้อเท้าขึ้นลงสลับกัน
– หมุนข้อเท้า โดยหมุนเข้าและออกสลับกัน
– ใช้นิ้วเท้าจิกผ้าที่วางอยู่บนพื้นเพื่อบริหารกล้ามเนื้อเล็กๆในเท้า
– นั่งบนเก้าอี้ ยกขาขึ้น เหยียดเข่าตึง และกระดกข้อเท้าขึ้นค้างไว้นับ 1 ถึง 10 นับเป็น 1 ครั้ง
– ควรออกำลังกายอย่างน้อยวันละ 3 รอบ รอบละ 10 ครั้ง
ระดับความเสี่ยงของการเกิดแผลที่เท้าสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน
1. ระดับความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ ผู้เป็นเบาหวานที่ไม่มีแผลที่เท้าขณะประเมิน ไม่มีประวัติการเป็นแผลที่เท้าหรือถูกตัดขา / เท้า / นิ้วเท้า ผิวหนังและรูปเท้าผิดปกติ ผลการประเมินการรับความรู้สึกในการป้องกันตนเองที่เท้าและชีพจรปกติ
2. ระดับความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ ผู้เป็นเบาหวานที่ตรวจพบผลการประเมินการรับความรู้สึกในการป้องกันตนเองที่เท้าผิดปกติและ/หรือ ชีพจรเท้าเบาลง หรือตรวจค่า ABI < 0.9 ควรพิจารณาอุปกรณ์เสริมในรองเท้าหรือรองเท้าที่เหมาะสมและนัดตรวจเท้าอย่างละเอียดทุก 6 เดือน
3. ระดับความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้เป็นเบาหวานที่มีประวัติมีแผลที่เท้าหรือถูกตัดขา / เท้า / นิ้วเท้า หรือมีความเสี่ยงปานกลางร่วมกับพบเท้าผิดรูป ควรพิจารณาตัดรองเท้าพิเศษ และนัดตรวจเท้าอย่างละเอียดทุก
3 เดือน
และเพราะการก้มลง หรือยกเท้าขึ้นมาสำรวจ หรือการหาอุปกรณ์อื่นๆ มาช่วยในการสำรวจเท้าอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้ที่กำลังเจ็บป่วย หรืออ่อนแรงลง และผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุบางคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นรบกวนลูกหลานหากต้องให้มาช่วยดูแลในส่วนนี้ ดังนั้นการมีผู้ดูแลผู้ป่วย หรือผู้สูงอายุที่บ้านคอยช่วยดูแล และสำรวจความเปลี่ยนแปลง หรือความผิดปกติของเท้าให้ผู้ป่วย หรือผู้สูงอย่างสม่ำเสมอ จึงน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดี ทั้งในด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบายกับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุนะคะ
Cr: โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาการุณย์