8 วิธีรับประทานยา’ เช็กให้ชัวร์ก่อนกิน

ทำไมก่อนกินยาต้องอ่านฉลากทุกครั้ง ?” มาดูเหตุผลพร้อมคำแนะนำจากคุณหมอ

โรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ แม้การไม่มีโรคจะเป็นลาภอันประเสริฐ แต่โรคของผู้สูงอายุบางโรคก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ยา จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาโรคหรือบรรเทาอาการต่าง ๆ ซึ่งยาจะดีและปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกหลัก มาคลายทุกข้อสงสัยกับ ‘8 วิธีรับประทานยาที่ถูกต้อง ที่จะทำให้ชาว Gen ยัง Active ใส่ใจเรื่องยามากขึ้น

จำเป็นไหมที่ต้องรับประทานยาตามข้อบ่งใช้ ?

เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมยาแต่ละชนิดจึงมีข้อบ่งใช้ต่างกัน บางตัวต้องรับประทานทั้งเช้า กลางวัน เย็น และมีทั้งที่เป็นยาก่อนอาหาร และหลังอาหาร ซึ่งหากต้องรับประทานยาหลายตัวด้วยแล้ว ยิ่งชวนให้สับสน คำตอบจากคุณหมอคือ ยาแต่ละชนิดถูกกําหนดให้รับประทานในเวลาที่แตกต่างกันด้วยเหตุผลที่จําเป็นต่าง ๆ เช่น

ยาแก้ปวดแก้อักเสบ (Non-steroidal Anti-inflammatory drugs; NSAIDs) ยากลุ่มนี้จะกําหนดให้รับประทานหลังอาหารทันทีเนื่องจากมีผลระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร


ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ (Antibiotic) ควรรับประทานต่อเนื่องจนยาหมดหรือตามแพทย์สั่ง เพราะหากคิดว่าตัวเองหายดีแล้วและหยุดยาเอง จะทำให้ร่างกายดื้อยาและอาจเจ็บป่วยรุนแรงกว่าเดิม


ทั้งนี้มีข้อพึงสังเกตและข้อพึงระวังเนื่องจากมีการเรียก “ยาแก้อักเสบ” ในกลุ่มยาที่แตกต่างกันนั่นคือ ‘กลุ่มของยาปฏิชีวนะ’ ที่หลายคนเข้าใจผิดเรียกว่ายาแก้อักเสบ แต่หน้าที่ของยาปฏิชีวนะคือการฆ่าเชื้อหรือกำจัดเชื้อโรคที่เป็นต้นตอของการอักเสบนั่นเอง

ส่วน ‘กลุ่มยาต้านการอักเสบ’ ซึ่งถูกต้องแล้วที่เรียกว่ายาแก้อักเสบ โดยยากลุ่มนี้ช่วยแก้ปวดและลดการอักเสบโดยตรง เช่น กลุ่มแอสไพรินหรือกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ซึ่งใช้รักษาการอักเสบที่เกิดจากการบาดเจ็บเพราะการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย การใช้เสียง ข้ออักเสบจากโรครูมาตอยด์ เป็นต้น


อ่านฉลากแล้วต้องรับประทานยาให้ถูกวิธี ก่อนรับประทานยาทุกครั้ง อย่าลืมหยุดอ่านฉลากยาสักนิดเพื่อความชัวร์ ซึ่งคำแนะนำในการรับประทานยาจากคุณหมอที่ควรจำให้ได้และนำไปใช้ ได้แก่

  1. ยาก่อนอาหาร ให้รับประทานก่อนอาหารประมาณ 30 นาที
  2. ยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที มักเป็นยาที่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร เช่น ยากลุ่มแอสไพรินหรือกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal Anti-inflammatory drugs; NSAIDs) ให้รับประทานอาหารครึ่งหนึ่งแล้วรับประทานยา แล้วจึงรับประทานอาหารต่อจนอิ่ม หรือรับประทานอาหารคําสุดท้ายแล้วรับประทานยาทันที พร้อมดื่มน้ำตามมาก ๆ
  3. ยาหลังอาหาร ควรรับประทานหลังอาหาร 15 – 30 นาที 
  4. ยาระหว่างมื้ออาหาร ให้รับประทานก่อนหรือหลังอาหาร 1 – 2 ชั่วโมง
  5. ยาก่อนนอน รับประทานก่อนเข้านอน 15 – 30 นาที กรณีที่เป็นยานอนหลับก่อนนอนเพื่อให้ผู้ป่วยนอนได้เต็มที่ โดยมากมักให้ผู้ป่วยรับประทานก่อนถึงเวลาที่ต้องตื่นนอนประมาณ 7 – 8 ชั่วโมง และที่สำคัญ ยานอนหลับควรใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น เพราะยาบางตัวมีไว้สำหรับจัดการการนอนไม่หลับในช่วงเวลาหนึ่ง
  6. ยาที่รับประทานสัปดาห์ละครั้ง หากรับประทานวันใดก็ควรรับประทานวันนั้นทุก ๆ สัปดาห์ เช่น เริ่มรับประทานยาวันอาทิตย์ก็ให้รับประทานยานั้นทุกวันอาทิตย์
  7. ยาที่รับประทานเมื่อมีอาการ เช่น ยาลดไข้แก้ปวดพาราเซตามอล (Paracetamol) รับประทาน 2 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมงเวลาปวด หมายความว่าให้รับประทานครั้งละ 2 เม็ดเมื่อมีอาการปวด ถ้าต่อมามีอาการปวดอีกแต่ยังไม่ถึง 6 ชั่วโมง ยังไม่ควรรับประทานยานั้นซ้ำอีก เพราะอาจเกิดพิษจากยาเกินขนาดได้
  8. กรณีลืมรับประทานยา ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่ถ้าใกล้ถึงเวลามื้อต่อไปแล้วให้ข้ามมื้อที่ลืมไป อย่าเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่าในมื้อต่อไปเป็นอันขาดเพราะไม่ได้ชดเชยมื้อที่ลืมไป และอาจเกิดอันตรายหรืออาการข้างเคียงตามมาได้อีกด้วย

คุณสามารถวางใจให้ผู้ดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ จากศูนย์จัดส่งผู้ดูแลผู้สูงอายุที่บ้านที่มีมาตรฐานช่วยดูแลเรื่องนี้ได้ค่ะ เพราะทางศูนย์จะจัดส่งผู้ดูแลที่ได้รับการอบรม และมีประสบการณ์เพื่อดูแลคนที่คุณรักเป็นอย่างดี…

เรียบเรียงโดย : เรียบเรียงโดย : ภญ.ฐนิตา ทวีธรรมเจริญ
ฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลศิริราช
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
Cr : Gen ยัง active มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล